ประวัติศาสตร์ 10,000 ปี ของ แอลกอฮอล์

แอลกอฮอล์ หากพูดถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คิดว่าใครก็คงรู้จัก เครื่องดื่มชนิดนี้เกี่ยวพันกับวิถีชีวิตมนุษย์ในหลายมิติ ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ ศาสนา สังคมและวัฒนธรรม ไวน์  ที่สำคัญ “แอลกอฮอล์” กับมนุษย์เรา มีเส้นทางยาวนานร่วมกันมาตั้งแต่ 10,000 ปีที่แล้ว Jack Daniel’s

ครั้งนี้พี่ทุยจะพาไปเจาะถึงแง่มุมต่าง ๆ ของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ว่าเกิดจากอะไร มนุษย์เริ่มดื่มมันตอนไหน และอุตสาหกรรมของสิ่งนี้เกิดขึ้นได้ยังไง ถ้าอยากรู้แล้ว เรามาเดินทางย้อนกลับไปในอดีตพร้อมๆ กับพี่ทุยกันได้เลย! เครื่องดื่ม 2024

 

มนุษย์เริ่มดื่ม “แอลกอฮอล์” ตอนไหน?

แอลกอฮอล์  สามารถพาย้อนไปไกลที่สุด เมื่อประมาณ 10,000 ปีที่แล้ว มนุษย์เริ่มค้นพบเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เกิดขึ้นเองตามป่าดงพงไพร โดยมาจากผลไม้ที่เลยความสุกไปแล้ว และยีสต์ในป่าพากันกัดกินน้ำตาลในผลไม้จนเกิดแอลกอฮอล์ขึ้นมา ซึ่งเป็นการหมักตามธรรมชาติ ไวน์

โดยมนุษย์ในช่วงนั้นก็ยังเร่ร่อนล่าสัตว์เก็บของป่ากินกันเป็นส่วนใหญ่อยู่แล้ว เลยไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเก็บผลไม้มีแอลกอฮอล์ติดไม้ติดมือมาด้วย ที่ถึงแม้จะดูเหมือนเน่า แต่ก็ต้องเก็บไว้เพื่อตุนเสบียงให้มากที่สุด แล้วก็ค้นพบว่าน้ำจากผลไม้เน่า ๆ นี้ดันดื่มกินได้! แถมยังมีรสชาติที่เข้าท่าและทำให้ผ่อนคลายเคลิบเคลิ้มต่างจากผลไม้ปกติ Jack Daniel’s

ด้วยทักษะการเรียนรู้ มนุษย์ก็เริ่มเข้าใจเหตุผลว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น และเริ่มติดใจในรสชาติที่แปลกใหม่ จากการที่รอให้ธรรมชาติหมักให้ดื่ม กลายเป็นเอามาหมักด้วยตัวเอง ซึ่งก็มีการทำเครื่องปั้นดินเผาเพื่อหมักผลไม้โดยเฉพาะ และมีการลองส่วนผสมหลากหลายขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งเชอร์รี่ แอปเปิ้ล องุ่น และธัญพืชจนเกิดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หลากหลายรูปแบบตามอารยธรรมโบราณในแต่ละที่

ธุรกิจ “แอลกอฮอล์” ในอารยธรรมโบราณ

เราได้เห็นกันไปในยุคก่อนหน้าแล้วว่า มนุษย์เริ่มสร้างสรรค์เอาส่วนผสมต่าง ๆ มาลองหมัก และแต่ละส่วนผสมก็เกิดเครื่องดื่มที่แตกต่างกัน โดยก่อนที่เราจะเดินทางไปในช่วงเวลาต่อไป พี่ทุยอยากให้ทุกคนเข้าใจก่อนว่า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันแบ่งใหญ่ ๆ ได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้ เครื่องดื่ม 2024

1. เหล้า (Spirits) เกิดจากการหมักและกลั่น ทำให้มีดีกรี (%แอลกอฮอล์) สูงที่สุด คือไม่น้อยกว่า 20% และส่วนผสมที่ต่างกันก็จะเกิดเหล้าที่ต่างกัน เช่น หากใช้มันฝรั่งก็จะเป็นวอดก้า หากใช้ธัญพืชก็จะเป็นวิสกี้ หากใช้องุ่นก็จะเป็นบรั่นดี หากใช้ข้าวก็จะเป็นสาเก

2. ไวน์ (Wine) มีดีกรีรองจากเหล้าคือประมาณ 9-16% หมักจากผลไม้หรือข้าวและจะเรียกชื่อตามผลไม้ที่หมัก เช่น ไวน์แอปเปิ้ล ไวน์เชอร์รี่ แต่โดยส่วนใหญ่ไวน์ที่มีมากและนิยมที่สุดคือไวน์องุ่น

3. เบียร์ (Beer) มีดีกรีต่ำที่สุดคือประมาณ 4-8% เกิดจากการเอามอลต์ในข้าวบาเลย์หรือข้าวสาลีมาต้มและหมัก เกิดเป็นเบียร์ 2 แบบใหญ่ๆ คือ เบียร์เอล (Ale) และเบียร์ลาเกอร์ (Lager)

จริง ๆ แล้วไม่มีความชัดเจนว่าเหล้า ไวน์ หรือเบียร์อันไหนที่เกิดก่อนกันหรือใครเป็นคนคิดค้นคนแรก แต่พี่ทุยขอพาทุกคนเดินทางไปในอารยธรรมที่พัฒนาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แต่ละประเภทและส่งต่อเครื่องดื่มนั้นสู่ยุคต่อไป

โดยเราจะไปเริ่มที่ดินแดนตะวันออกอย่างจีนเป็นที่แรก พร้อมเรื่องราวของเครื่องดื่มที่ชื่อว่าเหล้า Jack Daniel’s

จีน : พื้นที่กลั่นเหล้าแห่งแรกของโลก
พี่ทุยขอเกริ่นก่อนว่า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เก่าแก่ที่สุดเท่าที่ค้นพบในจีนคือไวน์ที่ทำจากน้ำผึ้งและข้าวหมักเมื่อประมาณปี 7,000 BC โดยพบในจีนตอนเหนือ

มาในปี 2000 BC สมัยราชวงศ์เซี่ยก็พบว่ามีการหมักเบียร์ขึ้นมา

แต่ทั้งไวน์และเบียร์ก็ไม่ได้ฮิตถึงขนาดเป็นธุรกิจจริงจัง แถมในช่วงนี้ก็ยังเป็นช่วงก่อนประวัติศาสตร์ ไม่ได้มีตัวอักษรที่จะเอาไว้จดสูตรไวน์และเบียร์ให้เป็นมาตรฐานส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นคราวนี้ช่วงปี 200 AD ในราชวงศ์ฮั่นก็เริ่มมีความเชื่อว่าแอลกอฮอล์เป็นยารักษาโรคสารพัดชนิดแถมยัง ชะลอความแก่และเป็นยาแก้พิษได้ด้วย แต่ต้องเป็นแอลกอฮอล์ที่ดีกรีสูง ๆ เท่านั้นถึงจะใช้ได้! ไวน์

ทีนี้เลยเกิดการคิดค้นเครื่องดื่มที่มีดีกรีสูง ๆ จนหมักและกลั่นออกมาเป็นเหล้า เพื่อตอบโจทย์กับความเชื่อที่ว่านี้เอง เหล้าเลยกลายเป็นเครื่องดื่มสามัญประจำบ้านของคนจีน สวมบทบาทเป็นทั้งยาจีนโบราณ เครื่องดื่มสังสรรค์ และน้ำในพิธีกรรมต่าง ๆ

เช่น ก่อนออกรบก็ต้องกระดกเหล้า ชนะกลับมาก็ต้องกระดกเหล้า สาบานกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องกระดกเหล้า ป่วยก็ต้องกระดกเหล้า ซึ่งหากใครเคยดูหนังพีเรียดจีน คงจะเห็นคนจีนกระดกเหล้าหมดจอกเหมือนเป็นน้ำเปล่าเลยทีเดียว

เพราะแบบนี้ไวน์และเบียร์ที่มีดีกรีต่ำ ๆ เลยเริ่มสาบสูญไปจากสังคมจีนโบราณ ความต้องการของตลาดเทไปที่เหล้าแทบทั้งหมด มีการกลั่นเหล้าคิดค้นสูตรและส่งต่อกันเป็นสมบัติล้ำค่าประจำตระกูลจากรุ่นสู่รุ่น ทำให้ปัจจุบันจีนมีเหล้าระดับพรีเมี่ยมอยู่ไม่น้อย

พี่ทุยขอยกตัวอย่างคือ Kweichow Moutai บริษัทผลิตเหล้าแบรนด์ “เหมาไถ (Moutai)” ซึ่งเป็นสูตรที่ตกทอดมายาวนานกว่า 2,000 ปี โดยเหมาไถถือเป็นเหล้าประจำชาติของจีนดีกรีแรงในระดับ 43-53% มักใช้เลี้ยงต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองโดยเฉพาะผู้นำระดับประเทศจากทั่วโลก ที่หากมาเยือนจีนก็ต้องได้ลิ้มรสชาติเหล้า 2,000 ปีนี้กันแทบทุกคน

โดยเหมาไถเน้นตีตลาดจีนและเป็นเหล้าที่คนจีนนิยมดื่มมากที่สุด ทำรายได้ระดับหมื่นล้านดอลลาร์แทบทุกปี ซึ่งทำให้ Kweichow Moutai เป็นบริษัทแอลกอฮอล์ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกนอกจากนี้ยังมี Wuliangye Yibin บริษัทผลิตเหล้าแบรนด์ “อี๋ปิน” ที่นิยมรองลงมาจากเหมาไถ และเป็นบริษัทแอลกอฮอล์ที่มีมูลค่าสูงในระดับ Top เช่นเดียวกันเรียกได้ว่า เหล้าสำหรับคนจีนถือเป็นเครื่องดื่มที่มีความผูกพันธ์และความเป็นมายาวนาน ทำให้เป็นสินค้าที่มีความต้องการสูงมากตลอด 2,000 ปีในประวัติศาสตร์จีน

เหล้าในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วโลก

แต่ละที่ เหล้าก็ถูกพัฒนาและใช้ส่วนผสมที่แตกต่างกันไปตามสภาพภูมิศาสตร์

  • ในแถบยุโรปตะวันออกที่มีอากาศหนาวก็เกิดเหล้าที่หมักจากมันฝรั่งและกลั่นหลายรอบให้ไม่มีสีจนออกมาเป็น “วอดก้า (Vodka)” ไวน์
  • ส่วนทางยุโรปตะวันตกอย่างฝรั่งเศส สเปน โปรตุเกส ก็มีเหล้าที่ทำจากจูนิเปอร์เบอร์รี่และสมุนไพรอื่นๆ จนออกมาเป็น “ยิน (Jin)” รวมถึงเหล้าที่ทำจากองุ่น แอปเปิ้ล หรือเชอร์รี่ ที่ออกมาเป็น “บรั่นดี (Brandy)”
  • ในแถบสกอตแลนด์ ไอร์แลนด์ อังกฤษ ก็มีเหล้าทำจากธัญพืชจนออกมาเป็น “วิสกี้ (Whiskey)”
  • ส่วนฟากอเมริกาก็มีเหล้าที่ทำจากอ้อยและกากน้ำตาลจนออกมาเป็น “รัม (Rum)” เครื่องดื่ม 2024

โดยในปัจจุบันก็มีบริษัทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ใหญ่สุดในยุโรปคือ Diageo ที่ขายเหล้าโดยเฉพาะซึ่งมีแบรนด์ที่เคยขายดีที่สุดคือ สก็อตวิสกี้ในชื่อ Johnnie Walker ก่อนจะถูกเหมาไถมาแซงยอดขายไปในช่วงปี 2017

บทความแนะนำ